12 มิ.ย. 2566
SME Playbook
การเข้าสู่ตลาดอาจเป็นงานที่ท้าทายสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) ในประเทศไทย หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมากในการเข้าสู่ตลาดคือกลยุทธ์การกำหนดราคา การเลือกกลยุทธ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ SMEs สามารถเข้าสู่ตลาดได้ ดึงดูดลูกค้า และสร้างกำไรได้อย่างมากที่สุด มีกลยุทธ์การกำหนดราคาหลากหลายที่เหมาะสมสำหรับ SMEs ในประเทศไทย ในบทความนี้เราจะสำรวจเกี่ยวกับกลยุทธ์การกำหนดราคาทั้ง 9 กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับ SMEs ที่เข้าสู่ตลาดในประเทศไทย โดยการเข้าใจกลยุทธ์การกำหนดราคาเหล่านี้ SMEs สามารถตัดสินใจกลยุทธ์การกำหนดราคาอย่างมีเหตุผลและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดได้มากขึ้น
สำหรับบทความนี้ SME กล้าให้ จะนำเสนอกลยุทธ์ในการตั้งราคา ซึ่งในบางมุมมอง ที่เราอาจเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นผู้ขายสินค้า มาเป็นผู้ซื้อสินค้าและบริการ จะได้ทำความเข้าใจและมองเห็นกลยุทธ์ เทคนิคในการตั้งราคา ของสินค้าหรือบริการนั้นๆ
การกำหนดราคาแบบแข่งขันเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจ SME โดยเรียกว่าเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้สามารถแข่งขันกับธุรกิจคู่แข่งได้อย่างเต็มที่ โดยการกำหนดราคาให้ต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาของสินค้าหรือบริการคู่แข่ง เป้าหมายของกลยุทธ์นี้คือเพื่อดึงดูดลูกค้าโดยให้ราคาที่เหมาะสมและน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การกำหนดราคาในกลยุทธ์นี้ต้องคำนึงถึงต้นทุนการผลิตและกำไรที่ต้องการด้วย เพื่อให้ธุรกิจสามารถเป็นไปได้ในระยะยาวและยังคงแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
การตั้งราคาแบบ Bundle Pricing หรือการรวมการขายสินค้าหลายรายการเข้าด้วยกันในแพ็คเกจเดียวเป็นวิธีการตั้งราคาที่นิยมใช้ เพราะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และสามารถสร้างความสนใจของลูกค้าได้มากขึ้น การตั้งราคาแบบ Bundle ยังช่วยเพิ่มยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตและขายสินค้าได้ดีกว่าการขายสินค้าแยกต่างหาก อย่างไรก็ตาม การตั้งราคาแบบ Bundle ต้องคำนึงถึงต้นทุนการผลิต และต้องเลือกสินค้าที่มีความสัมพันธ์กันเหมาะสม สำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องการเพิ่มยอดขายและกำไรในที่สุด การตั้งราคาแบบ Bundle อาจเป็นวิธีการที่ดีในการต่อสู้กับคู่แข่งในตลาด
การกำหนดราคาสินค้าแบบ Captive Product Pricing เป็นวิธีหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจ SME สามารถใช้เพื่อเพิ่มยอดขายของสินค้าได้ ราคาสินค้าจะถูกกำหนดให้ต่ำกว่าตลาดเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า และสินค้าอื่น ๆ ที่มีการขายร่วมกัน ในขณะเดียวกันจะมีการเพิ่มราคาของสินค้าหลักที่มีความต้องการสูงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ซื้อต้องซื้อสินค้าหลักพร้อมกับสินค้าอื่น ๆ ที่ผู้ขายได้กำหนดไว้ให้ในชุด
การกำหนดราคาแบบ Everyday Low Price เป็นวิธีการกำหนดราคาที่ต่ำและคงที่ตลอดเวลา เพื่อดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าราคาของสินค้าจะไม่เปลี่ยนแปลงเกินไป ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ SME ที่มีทรัพยากรจำกัด วิธีนี้สามารถช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถเข้าถึงตลาดได้ง่ายขึ้นและเพิ่มยอดขายได้ในระยะยาว
เป็นกลยุทธ์ในการกำหนดราคาที่ใช้ในการขายสินค้าหรือบริการ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ชื่นชอบสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงและพรีเมียม ราคาที่กำหนดจะสูงกว่าต้นทุนและราคาขายปกติ เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดในช่วงเริ่มต้น กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับธุรกิจ SME ที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพสูงและเป็นเอกลักษณ์ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์นี้อาจทำให้ธุรกิจพบกับการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เมื่อสินค้าหรือบริการในตลาดเปลี่ยนแปลงและเจ้าของธุรกิจ SME อาจต้องปรับราคาในภายหลังเพื่อรักษาตลาดไว้ในระยะยาว
การเรียกเก็บราคาตามต้นทุน (Cost-Plus Pricing) เป็นกลยุทธ์ในการกำหนดราคาที่ยกโดยพิจารณาต้นทุนการผลิตและกำไรที่ต้องการในการขายสินค้าหรือบริการ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถคำนวณราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำต้นทุนการผลิต และต้นทุนการจัดหาวัตถุดิบ มาบวกกับกำไรที่ต้องการ ในการขายสินค้าหรือบริการ ทำให้ได้รับกำไรตามที่กำหนดไว้ และสามารถกำหนดราคาที่เหมาะสมกับตลาดและลูกค้าได้ในระยะยาว
Penetration Pricing เป็นกลยุทธ์ในการกำหนดราคาที่บริษัทตั้งราคาสินค้าหรือบริการในระดับที่ค่อนข้างต่ำในตอนแรกเพื่อเข้าสู่ตลาดและได้รับส่วนแบ่งตลาด กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นในการดึงดูดลูกค้าด้วยการตั้งราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสร้างตัวเองในตลาดได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้มีกำไรต่ำกว่าในช่วงระยะสั้น แต่กลยุทธ์นี้สามารถช่วยให้ธุรกิจได้เก้าอี้ที่ตลาดและสร้างฐานลูกค้าที่สามารถนำมาสู่กำไรสูงในระยะยาว สำหรับ SME ในประเทศไทย การใช้กลยุทธ์ Penetration Pricing สามารถเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าสู่ตลาดที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดและได้รับความนิยมได้เร็วขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่
การกำหนดราคาเบื้องหลัง (Decoy pricing) เป็นกลยุทธ์การกำหนดราคาที่ใช้วิธีการเสนอสินค้าอย่างน้อย 3 ตัวเลือกโดยมีเป้าหมายในการกระตุ้นให้ลูกค้าเลือกตัวเลือกตั้งแต่กลางขึ้นไป เนื่องจากตัวเลือกกลางจะมีกำไรสูงสุดสำหรับธุรกิจ ตัวเลือกที่ถูกเรียกว่า "decoy" มักจะถูกกำหนดให้มีราคาสูงกว่าตัวเลือกที่ถูกสุดแต่ต่ำกว่าตัวเลือกที่มีราคาสูงสุด ด้วยการใช้กลยุทธ์ Decoy pricing จึงสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าเลือกตัวเลือกกลางและทำให้มียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจำเป็นต้องมั่นใจว่าตัวเลือก "decoy" ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าและไม่ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่ราคาไม่คุ้มค่าหรือต่ำกว่าตัวเลือกอื่น ๆ
การกำหนดราคาแบบไดนามิก (Dynamic pricing) เป็นกลยุทธ์การกำหนดราคาที่มีการปรับราคาสินค้าหรือบริการตามการเปลี่ยนแปลงของความต้องการและความสามารถในการผลิตแบบเรียลไทม์ แนวทางนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกับการสั่งซื้อสินค้าได้เหมาะสมตามเงื่อนไขของตลาด โดยที่ยังคงสามารถสร้างกำไรและคงความแข่งขันได้เช่นเดิม สำหรับธุรกิจ SME ในประเทศไทย การใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบไดนามิกนั้นเป็นประโยชน์ในการจัดการคลังสินค้า เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่เพียงพอหรือเกินจำเป็น และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบไดนามิกธุรกิจ SME สามารถเพิ่มรายได้และปรับปรุงผลกำไรได้ โดยต้องพิจารณาความเสี่ยงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ความคิดเห็นของลูกค้าและปัญหาความไม่โปร่งใสในการกำหนดราคา เป็นต้น
แม้ว่าการเข้าสู่ตลาดอาจเป็นภาระที่ท้าทายสำหรับธุรกิจ SME ในประเทศไทย การเลือกวิธีการกำหนดราคาที่เหมาะสม จะสามารถช่วยให้ธุรกิจ SME เข้ามาในตลาดได้อย่างเหมาะสม สามารถช่วยดึงดูดลูกค้าและสร้างกำไรสูงสุด และเจ้าของธุรกิจ SME เองควรพิจารณากลยุทธ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมที่สุดตามเป้าหมายของธุรกิจ