9 กลยุทธ์ตั้งราคา ช่วยธุรกิจ SME เปิดตลาด

12 มิ.ย. 2566

SME Playbook

9 กลยุทธ์ตั้งราคา ช่วยธุรกิจ SME เปิดตลาด

การเข้าสู่ตลาดอาจเป็นงานที่ท้าทายสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) ในประเทศไทย หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมากในการเข้าสู่ตลาดคือกลยุทธ์การกำหนดราคา การเลือกกลยุทธ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ SMEs สามารถเข้าสู่ตลาดได้ ดึงดูดลูกค้า และสร้างกำไรได้อย่างมากที่สุด มีกลยุทธ์การกำหนดราคาหลากหลายที่เหมาะสมสำหรับ SMEs ในประเทศไทย ในบทความนี้เราจะสำรวจเกี่ยวกับกลยุทธ์การกำหนดราคาทั้ง 9 กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับ SMEs ที่เข้าสู่ตลาดในประเทศไทย โดยการเข้าใจกลยุทธ์การกำหนดราคาเหล่านี้ SMEs สามารถตัดสินใจกลยุทธ์การกำหนดราคาอย่างมีเหตุผลและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดได้มากขึ้น
สำหรับบทความนี้ SME กล้าให้ จะนำเสนอกลยุทธ์ในการตั้งราคา ซึ่งในบางมุมมอง ที่เราอาจเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นผู้ขายสินค้า มาเป็นผู้ซื้อสินค้าและบริการ จะได้ทำความเข้าใจและมองเห็นกลยุทธ์ เทคนิคในการตั้งราคา ของสินค้าหรือบริการนั้นๆ

 

1. Competitive Pricing

การกำหนดราคาแบบแข่งขันเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจ SME โดยเรียกว่าเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้สามารถแข่งขันกับธุรกิจคู่แข่งได้อย่างเต็มที่ โดยการกำหนดราคาให้ต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาของสินค้าหรือบริการคู่แข่ง เป้าหมายของกลยุทธ์นี้คือเพื่อดึงดูดลูกค้าโดยให้ราคาที่เหมาะสมและน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การกำหนดราคาในกลยุทธ์นี้ต้องคำนึงถึงต้นทุนการผลิตและกำไรที่ต้องการด้วย เพื่อให้ธุรกิจสามารถเป็นไปได้ในระยะยาวและยังคงแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
 

ตัวอย่างนิยม ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Competitive Pricing
ธุรกิจ SME ประเภทสินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น สบู่ แชมพู น้ำดื่ม ที่ขายในร้านสะดวกซื้อ หรือ modern trade ที่ลูกค้ามักจะใช้เวลาในการพิจารณาความคุ้มค่าก่อนการซื้อสินค้า

 

 

2. Bundle Pricing

การตั้งราคาแบบ Bundle Pricing หรือการรวมการขายสินค้าหลายรายการเข้าด้วยกันในแพ็คเกจเดียวเป็นวิธีการตั้งราคาที่นิยมใช้ เพราะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และสามารถสร้างความสนใจของลูกค้าได้มากขึ้น การตั้งราคาแบบ Bundle ยังช่วยเพิ่มยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตและขายสินค้าได้ดีกว่าการขายสินค้าแยกต่างหาก อย่างไรก็ตาม การตั้งราคาแบบ Bundle ต้องคำนึงถึงต้นทุนการผลิต และต้องเลือกสินค้าที่มีความสัมพันธ์กันเหมาะสม สำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องการเพิ่มยอดขายและกำไรในที่สุด การตั้งราคาแบบ Bundle อาจเป็นวิธีการที่ดีในการต่อสู้กับคู่แข่งในตลาด
 

ตัวอย่างธุรกิจที่นิยม ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Bundle Pricing
ธุรกิจ SME ประเภทอาหาร หรือเครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ ที่มักมีการจับคู่เครื่องดื่มกับเบเกอรี่ มาจัดเป็นเซ็ตขายแล้วตั้งราคาที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าเมื่อซื้อเป็นเซ็ตมากกว่าการซื้อแยก
 

 

3. Captive Product Pricing

การกำหนดราคาสินค้าแบบ Captive Product Pricing เป็นวิธีหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจ SME สามารถใช้เพื่อเพิ่มยอดขายของสินค้าได้ ราคาสินค้าจะถูกกำหนดให้ต่ำกว่าตลาดเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า และสินค้าอื่น ๆ ที่มีการขายร่วมกัน ในขณะเดียวกันจะมีการเพิ่มราคาของสินค้าหลักที่มีความต้องการสูงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ซื้อต้องซื้อสินค้าหลักพร้อมกับสินค้าอื่น ๆ ที่ผู้ขายได้กำหนดไว้ให้ในชุด
 

ตัวอย่างที่นิยม ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Captive Product Pricing
ธุรกิจ SME ประเภทที่จำหน่ายวัสดุที่ต้องมีการใช้สินค้าควบคู่กัน เช่น เครื่องชงกาแฟ แบบแคปซูล ที่ในช่วงเริ่มต้นสำหรับคนที่มีเครื่องชงกาแฟ เป็นเครื่องแรก ที่ต้องซื้อเครื่องชงกาแฟ และแคปซูล เพื่อไปทดสอบรสชาติ และเมื่อแคปซูลหมดแล้ว ลูกค้าก็จะทำการสั่งซื้อแคปซูล ซ้ำ ทำให้บริษัทจึงได้กำไรจากส่วนของแคปซูลกาแฟ ในระยะยาว

 

 

4. Everyday Low Price

การกำหนดราคาแบบ Everyday Low Price เป็นวิธีการกำหนดราคาที่ต่ำและคงที่ตลอดเวลา เพื่อดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าราคาของสินค้าจะไม่เปลี่ยนแปลงเกินไป ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ SME ที่มีทรัพยากรจำกัด วิธีนี้สามารถช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถเข้าถึงตลาดได้ง่ายขึ้นและเพิ่มยอดขายได้ในระยะยาว
 

ตัวอย่างที่นิยม ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Everyday Low Price
ธุรกิจ SME ประเภทจำหน่ายของที่มีสินค้า Lifetime ไม่ยาวมากนัก เช่น ร้านขายสินค้าและอุปกรณ์เครื่องใช้จิปาถะ ที่ตั้งราคาสินค้าส่วนใหญ่ในร้านเป็นราคา 20 บาท เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าร้านและสร้างแบรนด์ให้เป็น Top of mind ด้านสินค้าราคาประหยัด

 


5. Skimming pricing

เป็นกลยุทธ์ในการกำหนดราคาที่ใช้ในการขายสินค้าหรือบริการ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ชื่นชอบสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงและพรีเมียม ราคาที่กำหนดจะสูงกว่าต้นทุนและราคาขายปกติ เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดในช่วงเริ่มต้น กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับธุรกิจ SME ที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพสูงและเป็นเอกลักษณ์ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์นี้อาจทำให้ธุรกิจพบกับการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เมื่อสินค้าหรือบริการในตลาดเปลี่ยนแปลงและเจ้าของธุรกิจ SME อาจต้องปรับราคาในภายหลังเพื่อรักษาตลาดไว้ในระยะยาว
 

ตัวอย่างที่นิยมใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Skimming pricing
ธุรกิจ SME ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าด้าน IT หรือ Gadget เช่น สินค้า IT ประเภท Notebook หรือ Smartphone IT Gadget ต่างๆ ที่มักตั้งราคาสูงในช่วงแรก และ ค่อยๆลดราคาลง เมื่อถึงปลายอายุตลาด เพื่อเปิดทางให้กับสินค้าใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว เพื่อสร้างความนิยมให้ลูกค้าไปโฟกัส ที่สินค้าจะแนะนำเข้าสู่ตลาด


 

6. Cost-Plus Pricing

การเรียกเก็บราคาตามต้นทุน (Cost-Plus Pricing) เป็นกลยุทธ์ในการกำหนดราคาที่ยกโดยพิจารณาต้นทุนการผลิตและกำไรที่ต้องการในการขายสินค้าหรือบริการ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถคำนวณราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำต้นทุนการผลิต และต้นทุนการจัดหาวัตถุดิบ มาบวกกับกำไรที่ต้องการ ในการขายสินค้าหรือบริการ ทำให้ได้รับกำไรตามที่กำหนดไว้ และสามารถกำหนดราคาที่เหมาะสมกับตลาดและลูกค้าได้ในระยะยาว
 

ตัวอย่างที่นิยม ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Cost Plus pricing
ธุรกิจ SME ที่สามารถคำนวณต้นทุนทั้งหมดได้และมีการแข่งขันสูง เช่น อาหาร เสื้อผ้าแปรรูป สินค้าอุปโภค บริโภค สินค้าเกษตรกรรม เป็นต้น

 


7. Penetration Pricing

Penetration Pricing เป็นกลยุทธ์ในการกำหนดราคาที่บริษัทตั้งราคาสินค้าหรือบริการในระดับที่ค่อนข้างต่ำในตอนแรกเพื่อเข้าสู่ตลาดและได้รับส่วนแบ่งตลาด กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นในการดึงดูดลูกค้าด้วยการตั้งราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสร้างตัวเองในตลาดได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้มีกำไรต่ำกว่าในช่วงระยะสั้น แต่กลยุทธ์นี้สามารถช่วยให้ธุรกิจได้เก้าอี้ที่ตลาดและสร้างฐานลูกค้าที่สามารถนำมาสู่กำไรสูงในระยะยาว สำหรับ SME ในประเทศไทย การใช้กลยุทธ์ Penetration Pricing สามารถเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าสู่ตลาดที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดและได้รับความนิยมได้เร็วขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่
 

ตัวอย่างที่นิยม ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Penetration Pricing
ธุรกิจ SME ประเภทบริษัทให้บริการด้าน logistics ที่จัดโปรโมชั่นลดค่าส่ง เมื่อให้ลูกค้าหันมาใช้เยอะขึ้น จึงปรับค่าขนส่งขึ้นในภายหลัง

 

 

8. Decoy Pricing

การกำหนดราคาเบื้องหลัง (Decoy pricing) เป็นกลยุทธ์การกำหนดราคาที่ใช้วิธีการเสนอสินค้าอย่างน้อย 3 ตัวเลือกโดยมีเป้าหมายในการกระตุ้นให้ลูกค้าเลือกตัวเลือกตั้งแต่กลางขึ้นไป เนื่องจากตัวเลือกกลางจะมีกำไรสูงสุดสำหรับธุรกิจ ตัวเลือกที่ถูกเรียกว่า "decoy" มักจะถูกกำหนดให้มีราคาสูงกว่าตัวเลือกที่ถูกสุดแต่ต่ำกว่าตัวเลือกที่มีราคาสูงสุด ด้วยการใช้กลยุทธ์ Decoy pricing จึงสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าเลือกตัวเลือกกลางและทำให้มียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจจำเป็นต้องมั่นใจว่าตัวเลือก "decoy" ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าและไม่ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่ราคาไม่คุ้มค่าหรือต่ำกว่าตัวเลือกอื่น ๆ
 

ตัวอย่างที่นิยม ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing
ธุรกิจ SME ที่ผลิตสินค้าแบบเดียวกันแต่มีหลายรุ่น เช่น บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ มักจะทำรุ่นย่อย และตั้งราคาจูงใจกระตุ้นให้ผู้ซื้อสินค้ายอมจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อได้ Option ที่มาขึ้น หรือ ทำราคาจูงใจในรุ่นที่มีกำไรต่อคัน สูง

 


9. Dynamic Pricing

การกำหนดราคาแบบไดนามิก (Dynamic pricing) เป็นกลยุทธ์การกำหนดราคาที่มีการปรับราคาสินค้าหรือบริการตามการเปลี่ยนแปลงของความต้องการและความสามารถในการผลิตแบบเรียลไทม์ แนวทางนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกับการสั่งซื้อสินค้าได้เหมาะสมตามเงื่อนไขของตลาด โดยที่ยังคงสามารถสร้างกำไรและคงความแข่งขันได้เช่นเดิม สำหรับธุรกิจ SME ในประเทศไทย การใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบไดนามิกนั้นเป็นประโยชน์ในการจัดการคลังสินค้า เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่เพียงพอหรือเกินจำเป็น และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบไดนามิกธุรกิจ SME สามารถเพิ่มรายได้และปรับปรุงผลกำไรได้ โดยต้องพิจารณาความเสี่ยงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ความคิดเห็นของลูกค้าและปัญหาความไม่โปร่งใสในการกำหนดราคา เป็นต้น
 

ตัวอย่างที่นิยม ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Dynamic Pricing
ธุรกิจ SME ประเภทให้บริการเช่า เช่น ธุรกิจตั๋วเครื่องบิน หรือ โรงแรมที่พัก หากทำการจองล่วงหน้าเป็นเวลานาน หรือ นอกช่วง high season จะได้ราคาที่ไม่สูง แต่ในทางกลับกันเมื่อใกล้การเดินทาง หรือ เป็นช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ ติดต่อกันหลายวัน ราคาที่พัก หรือ ตั๋วเครื่องบินก็มีพุ่งสูง ตามกลไก ราคา

 

 

  

แม้ว่าการเข้าสู่ตลาดอาจเป็นภาระที่ท้าทายสำหรับธุรกิจ SME ในประเทศไทย การเลือกวิธีการกำหนดราคาที่เหมาะสม จะสามารถช่วยให้ธุรกิจ SME เข้ามาในตลาดได้อย่างเหมาะสม สามารถช่วยดึงดูดลูกค้าและสร้างกำไรสูงสุด และเจ้าของธุรกิจ SME เองควรพิจารณากลยุทธ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมที่สุดตามเป้าหมายของธุรกิจ

สาระ SME น่ารู้ที่เกี่ยวข้อง